****** "ธรรมเรียนรู้ได้จากสังขารที่ปรุง ไม่ใช่เฉยๆหรือว่าง" ******
ปัญหาของคนเรานั้น มักถูกตัดสินจากมุมมองของตนที่มองผล
เรามองเห็นผลอย่างไรเราก็ตัดสินไปตามทิฏฐิตนที่มีปัญญาน้อยนิดนั้น
เราขาดการวินิจฉัยธรรม และการสาวผลทั้งหลายนั้นไปหาเหตุ
ที่ลึกกว่านั้นที่เราคาดไม่ถึงก็คือ
เหตุทั้งหลายนั้น มันเป็นผลอันมีเหตุที่อยู่ลึกลงไป
ฉะนั้น..เราจึงไม่ควรไปตัดสินใคร
แต่ถ้าใครเข้าใจผิดคิดว่าเราตัดสินผู้อื่น
เพราะเหตุที่เขาไม่รู้จักเรา
เช่นนี้..มันก็เป็นเรื่องของภูมิปัญญาเขา
ความทุกข์ทั้งหลาย เกิดจากมีเรา เข้าไปเป็นเจ้าของผล
ที่สำคัญ..มันจะไม่มีเราเข้าไปเป็นเจ้าของมันก็ไม่ได้
เพราะสังขารนี้มันปรุงแต่งไปตามเหตุปัจจัยของมันอยู่
ฉะนั้น..วลีที่กล่าวว่า ถ้าไม่มีความเป็นเราเข้าไปเป็นเจ้าของในสรรพสิ่ง เราก็จะไม่ทุกข์
วลีนี้ดูเหมือนจะถูก แต่เป็นความคิดและคำพูดที่ผิดมหันต์
เพราะความไม่เข้าใจธรรม เราจึงพากันถอดถอนตัวตนของเรา
เราจึงพากันว่างและไม่รู้ไม่ชี้ ต่อธรรมทั้งหลาย ที่มาผัสสะต่อตัวเรา
เรา..คงลืมไปว่า เรามันเป็นเจ้าของตัวตนทุกการกระทำ ความคิด และการฝึกปฏิบัตินั้นๆด้วยความเป็นเรา
พุทธศาสนาไม่ได้ชี้ความว่างไม่เอาอะไรเช่นนั้น
พุทธศาสนาชี้ให้เข้าใจว่าเรา จะอยู่กับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไรด้วยวุฒิภาวะแห่งปัญญา ที่รู้จักมัน
ในสมัยโบราณ..
มีลัทธิ มีศาสนาต่างๆมากมาย ต่างก็มีความคิดเช่นที่เราเข้าใจนี้
คือไม่รู้ไม่ชี้ ไม่สร้างกรรม ไม่กระทำใดๆในสิ่งที่ให้ความหมายว่าชั่ว
ตรรกะความคิดที่เมื่อไม่มีเราเข้าไปเป็นเจ้าของ...