****** "ตัณหามันผุดขึ้นมาไม่รู้จบเป็นธรรมดา" ******
นักบวชที่ไม่เกิดตัณหาหรือเกิดเล็กน้อยนั้น..
ตราบใดที่ปฏิบัติ รับผิดชอบต่อหน้าที่อย่างตั้งใจ
อารมณ์เหล่านี้จะโดนข่มไว้ได้ นี่เป็นธรรมดา
ฝึกเบื้องต้นควรเป็นเช่นนั้น มันยังมีความละอายสูง
ท่านจึงเลือกที่จะอยู่อย่างสันโดษ และกระทบผัสสะให้น้อย
นี่เป็นระยะเริ่มต้น ที่ต้องเข้มแข็งกับมันด้วยการฝึกฝนข่มจิต
แต่การเข้าถึงปัญญาไม่ได้มีอยู่เพียงแค่นี้
ธรรมชาติของสังขารมันมีหน้าที่ของมัน มันปรุงแต่งของมันไปเรื่อย
การเห็นผู้คนเป็นกระดูก มันเป็นการพิจารณา ปรุงด้วยความคิด
ไม่ใช่เห็นจริงด้วยตาว่าเป็นกระดูก
มันเป็นการพิจารณา เป็นวิปัสนาพิจารณาสังขาร ว่าจริงๆมันไม่มีสาระอันใด
ร่างมันประกอบเนื้อหนัง เอ็น กระดูก ด้วยเหตุแห่งสังขารเหล่านี้
เมื่อถึงจุดหนึ่งมันก็ย้อนกลับมาทำหน้าที่ของมันเช่นเดิม
เนื้อก็คือเนื้อ มันเดินได้ดิ้นได้ และปรากฏอยู่ตรงหน้า
ตัณหาทั้งหลายมันก็กลับมาทำหน้าที่ของมันเช่นเดิม
เพราะตัณหาทั้งหลายเป็นเครื่องอยู่ของสังขาร
เป็นเพียงแต่ผู้รู้รู้จักมันและอยู่ร่วมกับมันได้โดยไม่เดือดร้อน
นี่เป็นความจริงที่ไม่บิดเบือน
การเข้าถึงเจโตวิมุตติ สิ่งเหล่านี้ก็ยังมี
การเข้าถึงปัญญาญานวิมุตติ สิ่งเหล่านี้ก็ยังมี
แต่ผู้เข้าถึงท่านมีที่ยืนที่ปลอดภัยในการรักษาใจตนเท่านั้น
ท่านเลือกช่องว่างที่จะเดินได้ด้วยกำลังแห่งปัญญา
แต่ก็พลาดได้เช่นกัน เพราะมันเป็นเรื่องของภพที่มันทำหน้าที่ไปตามเหตุปัจจัย
ก็ต้องไปขยายเรื่องเกี่ยวกับภพอีก ว่ามันเกี่ยวเนื่องอย่างไร
ในเจตนาที่เรียกว่ากรรม
และกรรมอันใดที่ไม่มีผลต่อการเสวยวิบากแห่งวัฏฏะ
นี่ก็ต้องขยายกันออกมาอีก สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของภพ
ตำราไม่ได้ขยายไว้
การเกิดอารมณ์นี่เป็นธรรมดา
เกิดแล้วจะแก้ให้ผ่านได้อย่างไรนี่ ไม่ธรรมดา....
----
บทธรรมขยายเพิ่มเติมจากเรื่อง...