เรื่องพระโสดาบันนี่ พูดกับคนงมงายนี่ มันพูดยาก
ความเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ นี่เป็นความงมงายอย่างสุดโต่ง
ในพระไตรปิฏกเอง ก็แปลออกมาให้เห็นชัดๆตั้งหลายบท
ว่าผู้ที่เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน ไม่ได้ยากเย็นอะไร แต่ชาวไทยเป็นเรื่องยากเย็น
ที่ยากเย็นเพราะไม่เข้าใจเรื่องศีล ใจยังห่างไกลความเป็นศีล
เรียกง่ายๆว่าเป็นผู้เข้าใจ มูลเหตุแห่งความเป็นจริงเบื้องต้นไม่ถูก หากเข้าใจถูก
ก็เป็นมนุษย์มีเหตุมีผลมากขึ้น ไม่ตกอยู่ภายใต้กระแสแห่งความงมงาย
ที่เรียกว่า สีลพตปรามาสน่ะ คือความงมงาย
คนมีเหตุมีผล มันมีสติตรึกตรอง ละความงมงายลงได้
ละความสงสัยในสิ่งเหนือเหตุเหนือผลลงได้
ละการยึดมั่นถือมั่นในทิฏฐิและอารมณ์ในกระแสแห่งความเป็นต้วตนลงได้
นี่เรียกได้ว่า เป็นผู้ละเครื่องร้อยรัดจิตลงได้ระดับหนึ่ง
เป็นผู้ที่มีสติปัญญาเห็นแจ้งเบื้องต้น
เรียกว่าเป็นผู้ละสังโยชน์ได้สามประการ
สีงโยชน์คือเครื่องร้อยรัดใจให้ติดข้องในวัฏฏะ
ในที่นี้คือยังหลงงมงาย
นี่พูดกันกันภาษาไทยง่ายๆ ไม่ต้องใช้ภาษามากความ
ถ้าปัญญาตามรู้ไม่ได้อีก ก็อยู่อย่างผู้หาหนทางยากๆในการเป็นพระโสดาบันไปเหอะ
พระโสดาบันไม่ได้หาอ่านจากหนังสือ ตำราโว้ย
อ่านให้ตาย ก็วนอยู่กับเรื่องราวต้องนู่นนี่นั่น
จอมตำราเอง ยังไม่รู้เลยว่าอะไรคือพระโสดาบัน
อ่านมาจำมาแล้วมาตีความอักษรเอา
คนมาฟังทีหลังก็บ้าตำราตาม และยึดเอาว่า เออๆๆๆๆ กูก็ว่า
นางวิสาขานี่เป็นเด็กแค่...