>> คำถาม : ขอเรียนถามพระคุณเจ้าครับ....สรุปแล้วไม่ว่าการแช่งหรือการอวยพร...หรือการกล่าวอาฆาต..กล่าวจองเวร..
เป็นพลังงานที่ออกจากทางวาจา...ระหว่างคนสองคนคือผู้รับและผู้ฟัง....ดังนั้นสิ่งที่พระคุณเจ้าได้แสดงไว้ข้างต้น
คือ...ผู้ฟังถ้าเราไม่รับเอามาใส่ใจ..คำพูดนั้นก็ไม่มีผลเพราะไม่มากระทบ..ถูกต้องไหมครับ?
แต่ผู้พูดที่มีใจเป็นอกุศล..ผลจะเกิดแก่ผู้พูดทันทีเพราะใจกระทบไปแล้ว....
อีกอย่าง...การจองเวรกันข้ามภพชาติดังเช่นพระเทวทัต...จองเวรพระพุทธเจ้าทุกชาติเท่ากับจำนวนเม็ดทรายในหนึ่งกำมือสมัยที่พระพุทธเจ้าเกิดเป็นพ่อค้า....
ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วถึงแม้ว่าอีกฝ่ายไม่รับรู้..หรือไม่รับในคำพูดอีกฝ่าย...แต่กรรมยังส่งผลให้ฝ่ายที่เขาจองเวรมากระทำกับอีกฝ่ายอยู่ดี
ผมใคร่ขอความกระจ่างตรงจุดนี้ด้วยครับ...ขอนมัสการพระคุณเจ้าครับ..
<< พระอาจารย์ : ขอตอบ Meena Mana นะครับ เพื่อความกระจ่าง เป็นธรรมยามเที่ยงๆ
การที่พระเทวทัตกล่าวคำอาฆาต จองเวรพระพุทธเจ้าด้วยความไม่พอใจ ผลนั้นตกอยู่กับพระเทวทัต ที่จะต้องเสวยทุกข์
แม้ผลนี้จะติดตามกันมา ก็เนื่องด้วยเจตนาเจ้าตัวเป็นเหตุ เหตุนี้เป็นวิบากที่สืบเนื่อง อาศัยความอาฆาตแค้นเป็นเสบียง ในการสืบต่อ
การจบต้องไปจบที่พระเทวทัต ไม่ใช่จบที่พระพุทธองค์เจ้า ผลนี้ เมื่อมีผู้เจตนาก่อเหตุ เหตุแห่งผลนั่น ต้องเสวย
นี่...เป็นธรรมชาติของมัน ที่พระพุทธองค์เจ้าต้องมาเสวยกรรมกับพระเทวทัต...