**** "รู้จักความกลัว" ****
เรามาพูดถึงความกลัวกันดีไหม..
ความกลัวนี้ มันมีกันทุกคน
ท่านต้องนี่ แกกลัวผี
แกบวชแล้วก็ยังกลัวผี
ไม่ใช่ว่า บวชแล้วจะหายกลัวผีนะ
ทีนี้
เมื่อจำเป็นที่จะต้องนอนอยู่คนเดียว
โน่น..แกนอนอยู่ชายป่าหน้าหาดปลายแหลมโน่น
ที่ตรงนั้น มันก็เปลี่ยวเนอะ
มีพวงมาลัยของพวกหาปลา
มาแขวนมาบนบาลยิ่งดูเหมือนที่อยู่เหล่าผี
กลางวันน่ะไม่เท่าไหร่
แต่กลางคืนนี่ เงียบเหงาวังเวง
ข้าบอกให้ท่านต้องนี่ ฝึกแผ่เมตตา
พอถึงเวลาแกก็ไปยืนทำปากมุบๆมิบๆ แถวแหลมชายหาดนั่นแหละ
ท่านต้องนี่ แกเป็นพระดี
ตั้งใจบวชมาเพื่อแสวงหากุศล
กำลังทางใจแกก็เยอะ
พอยืนแผ่เมตตา
ผีแถวนั้นก็โมทนารับส่วนบุญ
เมื่อผีโมทนารับส่วนบุญ
กระแสแห่งการโมทนา มันก็โถมกลับมาหาท่านต้อง
มันทำให้ท่านต้อง ขนลุกขนพองสยองเกล้าขึ้นมา
ตัวงี้ชา มีอาการร้อนๆหนาวๆไล่ไปตามร่างกาย
เกิดมาไม่เคยเผชิญอาการผีโมทนา
แกก็กลัวจับใจ
แต่ไม่รู้จะทำไงดี
ก็ที่นอน ดันมาอยู่ซะไกลใครอื่น
นัยว่า พ่อของท่านมาทำไว้ให้
ความกลัวนี่
มันไม่เข้าใครออกใคร
สิ่งที่จะทำได้ดีที่สุดก็คือ
หันหลังกลับ
มานอนที่ศาลาหินร้อยก้อนเหมือนเดิม
ยอมให้ใครๆเขาล้อกัน
ท่านต้องจะพูดเหน่อๆสำเนียงทางกาญจน์ว่า
" ผ่มไม่คิด ว่าการโมทนาแผ่เมตตามันจะทำให้ขนลุกขนพองได้ขนาดนี้ ไม่บวชนี่ไม่รู้ "
คนเรานั้น
ชีวิตเกิดมาไม่เคยเผชิญอาการเช่นนี้
บอกอย่างไร ใครก็ไม่รับรู้ถึงอาการที่เป็นหรอก
ไอ้ความกลัวนี่ มันเป็นธรรมชาติของจิต
ความกลัวนี่ มันขจัดได้ด้วยปัญญา
ไม่ใช่ขจัดได้ด้วยความไม่กลัว
อย่างที่เราเข้าใจกัน
ท่านต้องเดี๋ยวนี้อยู่ตรงนั้นได้
ท่านฝึกจนคุ้นเคยที่จะอยู่กับมัน
นี่..เป็นการย้อมใจ ทนฝืนกระแสแห่งใจตน
ที่จะฝืนทนและอยู่กับมันให้ได้
แม้ทุกวันนี้...